Sign In
Sign-Up
Welcome!
Close
Would you like to make this site your homepage? It's fast and easy...
Yes, Please make this my home page!
No Thanks
Don't show this to me again.
Close
เรื่องที่แล้ว
หน้า หลัก
เรื่องต่อไป
รถเมล์สยองขวัญ
"... เด็กหนุ่มคนนั้นหันมามองดิฉัน ใบหน้าของเขาดูหมองซีดเหมือนเอาดินสอพองมาพอกไว้นัยน์ตาแห้งผากผม ยุ่งเหยิง เสียงเขาหัวเราะเบาๆ ..." ในปี 2514 ที่ผ่านมา 25-26 ปีแล้ว บ้านเมืองยังไม่เจริญเหมือนดังทุกวันนี้ แม้ใน ตัวจังหวัดเอง ก็ยังรกครึ้มไปด้วยต้นไม้เป็นส่วนมาก ดิฉันเองแต่งงานและแยกครอบครัวไปแล้ว ก็ไปช่วยสามีขายของ ที่บ้านสวน โดยพายเรือขายของ ( ขายข้าวแกง ) นานๆจึงจะเดินทางมาเยี่ยมบ้านเดิมในตัวเมืองสักครั้งนึง จนดิฉันมี ลูก 3 คนภาระก็มากขึ้น จึงไม่มีเวลามาเยี่ยมบ้านเลย จนเกือบ 2 ปี จนวันหนึ่งดิฉันได้รับจดหมายจากทางบ้านว่า อีก 5 วัน น้องชายคนเล็กของดิฉันจะแต่งงาน ดิฉันจึงให้สามีขายของคนเดียวก่อน เพื่อไปงานของน้องชาย ดิฉันต้องเดิน ทางมาตัวจังหวัดล่วงหน้าวันงาน 2 วัน ในสายวันนั้น ดิฉันนั่งเรือยนต์ออกจากลำคลองในสวน แล้วมาลงเรือแดงต่อเข้า ไปในตัวจังหวัดอีก บังเอิญเรือแดงเกิดเสียกลางทางต้องแก้ไขกันนานพอสมควรจนเรือมาถึงที่ท่าจังหวัดเย็นมากและ ดิฉันก็ไม่ได้เข้ามาตัวจังหวัดเกือบ 2 ปี จึงไม่รู้ว่าตัวจังหวัดมีอะไรเปลี่ยนแปลงไปบ้าง ดิฉันขึ้นจากเรือมายืนที่ท่าเรือ และถามสารถีรถสามล้อว่า " พี่ชายจ๊ะ..รถเมล์สายไปบ้าน...จอดอยู่ตรงไหนจ๊ะ " " อ๋อ รถเมล์ไปบ้าน...จอดอยู่ทางหลัง สถานีตำรวจนั่นแหละพี่สาว แต่...ป่านนี้...มันเลยเวลารถวิ่งมานานแล้วตั้งชั่วโมงกว่า จะมีรถไปหรือไม่ผมไม่รู้ได้พี่สาว ลองเดินไปถามคนหลังสถานีตำรวจดูซิ " สามล้อบอกว่ารถที่ไปบ้านดิฉันหมดเวลาวิ่งเสียแล้วและดิฉันกไม่รู้จักกับใคร ในตัวจังหวัดสักคน ดิฉันจึงรีบเดินทางไปหลังสถานีตำรวจซึ่งมีถนนตัดผ่านและมีห้องแถว 2 ชั้นเก่าๆ ปลูกเป็นแถวอยู่ ดิฉันเดินถามคนตามห้องแถวได้คำตอบเหมือนกันว่า " รถเมล์สายไปบ้านหมดเวลาวิ่งตั้งแต่ 4 โมงเย็นแล้ว แต่บางที อาจก็มีรถนอกคิวมารอรับคนโดยสารที่มาไม่ทันเหมือนกันแต่ก็ต้องเที่ยงคืนไป และก็ไม่มีรถมาเลยก็มีเอาแน่ไม่ได้ หรอก พี่สาวลองมาดูอีกครั้งหนึ่งตอน 5 ทุ่มกว่าหรือ 6 ทุ่มตรง เผื่อจะมีรถมาจอดรออยู่บ้าง" ดิฉันจึงเดินกลับเข้าไป ใน ตลาดอีกเพี่อหาอาหารทาน และเพื่อนแม่ค้าคุยเพื่อฆ่าเวลา เพราะในขณะนี้เกือบ 2 ทุ่มเท่านั้น ดิฉันเตรไปมาอยู่ ตามร้านค้าในตลาดจนร้านค้าเริ่มปิดทีละร้าน ๆจนเหลือเพียงร้านข้าวต้มโต้รุ่งซึ่งขายอยู่ที่หน้าสถานีตำรวจ ดิฉันเองก็ อิ่มอยู่แล้ว แต่ก็ยังฝืนทานข้าวต้มอีกทานไปคุยไปกับภรรยาเจ้าของร้านข้าวต้ม(ร้านรถเข็น)จนภรรยาเจ้าของร้านหลับ ไปบนเสื่อที่หลังร้าน ดิฉันจึงบอกกับเจ้าของร้านว่า "คุณลุงจ๊ะ เดี๋ยวหนูจะขอไปดูรพที่ท่าหลังสถานีนี่หน่อย ถ้าหากรถ ไม่มีจริง ๆ หนูต้องขอมารบกวนนอนกับคุณป้าแกที่นี่สักคืนหนึ่งเสียแล้ว คงไม่เป็นการรบกวนคุณลุงนะคะ""โธ่เอ๋ยแม่ หนู เชิญตามสบายเลยนะเพราะลุงเองก็ต้องขายข้าวต้มจนสว่างนั่นแหละลุงคิดว่าป่านนี้แล้ว(5 ทุ่มกว่า)มันจะมีรถออก วิ่งหรือหนู แต่ก็ไม่แน่นะลองไปดูสักครั้งก็ได้ ถ้าไม่มีก็กลับมา นอนที่ป้าเขานี่แหละ นี่มีนดึกมากแล้วระวังตัวไว้ด้วยนะ หนู" ลุงแกพูดจบก็มีคนมาซื้อข้าวต้ม ดิฉันหิ้วกระเป๋าใบเล็กเดินอ้อมไปตามถนนทางหลังสถานีตำรวจสายตาของดิฉัน ก็มองไปเห็นเงาดำทะมึนของรถเมล์คันหนึ่งซึ่งจอดอยู่ทางด้าน หลังสถานตำรวจ จากตรงจุดนี้ดิฉันพอมองเห็นเงาคน เดิมวูบวาบอยู่บนรถ ดิฉันรีบเดินจ้ำตรงเข้าไปที่รถคันนั้น พอเดิน มาถึงที่รถจอดก็พอดีมีเด็กรุ่นหนุ่มเดินลงมาจากรถ ในมือถือกระบอกตั๋วมาด้วย ดิฉันจึงถามว่า "นี่ น้องชายจ๊ะ รถคันนี้จะว่งไปบ้าน..ใช่ไหมจ๊ะ" เด็กหนุ่มคนนั้นหันมามอง ดูดิฉัน โอ้..คุณพระช่วย ใบหน้าของเด็กหนุ่มนั้นขาวซีดเหมือนเอา ดินสอพองมาพอกไว้ นัยน์ตาแห้งผาก ผมยุ่งเหยิง แล้วเขาก็บอกดิฉันด้วยเสียงยายคางว่า "ช่ายย..รถคันนี้จะปายยย.บ้านนนน.ขึ้นไปนั่งได้เลยยย.. เดี๋ยวออกแล้ววว..เหอ .เหอ.." เสียงพูดของเขานั้นทำเอาดิฉันขนลุกซู่ไม่รู้ตัว ความหนาว เย็ยเริ่มกรูเข้ามาในใจดิฉัน แต่ถึงกระนั้นดิฉันก็ ต้องไปรถคันนี้ให้ได้ ดิฉันจึงรีบก้าวเท้าขึ้นไปบนรถคันซึ่งค่อนข้างจะมืดครึ้มเพราะไม่มีไฟเลย อาศัยแสงสลัวจากไฟ ฟ้าบนเสาข้างถนนซึ่งก็ไม่สว่างมากนัก พอมองเห็นได้สลัวๆ แต่..พอดิฉันก้าวเข้าไปในรถดิฉันต้องชะงักกึกทันทีอะไร กันนี่ภายในรถทำไมเหม็นกลิ่นหืน ๆ เหมือนมีอะไรเน่าอยู่ภายใน ดิฉันเลือกนั่งเบาะตรงท้ายเมื่อมองไปแล้วเห็นว่ามี คนอยู่เกือบเต็มที่นั่ง ที่เบาะหลังนี้ก็มีผู้หญิงนั่งหลับกันอยู่สองคนตรงปลายเบาะ สังเกตว่าผู้โดยสารทุกคนนั่งกันเงียบ เชียบดีจริง คงจะหลับกันก็ได้นี่ก็คงเที่ยงคืนกว่าไปแล้ว ดิฉันจำเป็นต้องหยิบเอายา หม่องออกมาทาที่จมูกเพื่อดับกลิ่น เหม็นที่อบอวลอยู่ทั่ว ทำให้ดิฉันเกิดอาการวิงเวียนศีรษะขึ้นมา เด็กกระเป๋ารถกระโดด ขึ้นมาทางท้ายรถ พร้อมกับตะ โกนว่า "ไปได้เลยยยย..ลูกพี่.."ทันใดเสียงเครื่องรถก็ดังขึ้นมาทำเอาตัวรถสะเทือนไปทั่ว รถเริ่มเคลื่อนที่ ดิฉันแปลก ใจว่าทำไมรถถึงไม่ได้เปิดไฟหน้าส่องทาง เด้กกระเป๋านั่งตัวตรงอยู่ตรงทางลงด้านซ้ายรถ ดิฉันสังเกตว่ารถจะวิ่งส่าย ไปส่ายมาเหมือนคนขับเมาเหล้า และรถก็ว่งสะเทือนขึ้นลงทั้ง ๆ ที่ถนนที่ว่งไปนั้นมันไม่มีหลุมบ่อเลย เพราะเป็นถนน ราดยางมะตอย ทันใดนั้น...รถได้เบรกกะทันหันทำเอาร่างของดิฉันถลาเหมือนลอยไปมาตาม ช่องทางเดินตรงกลาง "พลั่ก..โอ๊ยยย.." ร่างของดิฉันทางด้านไหล่ขวาไปกระทบกับตัวถังรถทางหลังคนขับค่อนข้างแรง ทำเอาดิฉันจุกเสียด ขึ้นมาทันที แต่ที่น่าสงสัยก็คือ ผู้โดยสารทุกคนที่นั่งมากลับนั่งกันน่งคงมีเสียงพึมพำซึ่งฟังคล้ายเสียง ครวญครางมาก กว่า ขณะที่ดิฉันขยับตัวลุกขึ้นเพื่อจะเดินกลับไปนั่งที่เดิมทางท้ายรถ พลันดิฉันก็มองไปเห็นร่างของเด็กท้ายรถกำลัง ควานมือไปตามใต้ที่นั่ง แต่ที่น่าสยองคือว่า ร่างของเด็กท้ายรถนั้นทำไมจึงมีเฉพาะส่วนบ่าลงมาเท่านั้น แล้วศีรษะของ เขาหายไปไหนล่ะ..? แวบ..เดียวก็เห็นเขาหยิบเอาสิ่งกลม ๆ อกมาจากใต้ที่คนนั่งแล้วสวมผลุบเข้าที่ลำคอและหันมา หัวเราะเหอะ.เหอะ..เหอะ..ให้กับดิฉัน ทำเอาดิฉันขนลุกซู่ เย็นวาบขึ้นบนศีรษะ ดิฉันเดินทางท้ายรถ ก็ยังเห็นเด็กท้าย รถนั่งนิ่งเฉยอยู่ที่เดิมแต่ความนี้เขามีหมวกใส่ไว้ด้วย ดิฉันได้ปลอบใจตัวเองว่าเมื่อครู่นี้เด็กคงหยิบหมวกมาใส่ก็ได้ เราคงตาฝาดไปมั่ง ที่มองเห็นเป็นศีรษะ ดิฉันเองก็รู้สึกว่างงๆ พยามยามสูดลมหายใจเข้าลึกๆก็สูดไม่ได้เพราะเหม็น คราวนี้ดิฉันตั้งใจนั่งอย่างมั่นคง สองมือจับใต้เบาะที่เป็นเหล็กไว้แน่น สองขาก็ยันพื้นอย่างมั่นคง เดี๋ยวคงถึงบ้านน้อง ชายแล้ว อันที่จริงขณะที่รถวิ่งก็น่าจะมีลมพัดพาเจ้ากลิ่นเหม็นให้ลอยไปตามลมบ้าง แต่นี้มันยังอบอวลอยู่ในรถ ทันใด นั้น...!! "กึ้ง..กึ้ง..กึ้ง...พลั่ก...โอ๊ยยยย" คล้ายกับรถวิ่งไปตกหลุมหลายหลุม ร่างของดิฉันโยนไปมาแต่มือยังคงยึดเหล็ก ใต้เบาะไว้แน่นจนรูสึกแขนล้าไปหมด หันไปข้าง ๆ เห็นผุ้หญิงสองคนที่นั่งหลับพิงกันอยู่คนหนึ่งหล่นลงไปที่พื้นรถเสียง ดัง พลั่ก เธอร้องโอ๊ยยยย จนดิฉันต้องเพ่งมองดูเธอ คุณพระช่วย....ใบหน้าเธอคงไปกระแทกกับม้านั่งข้างหน้าก็ได้จึง ทำให้ใบหน้าเธอยุบราบลงไปข้างหนึ่ง ดวงตาเธอหลุดออกมาห้อยร่องแร้งทั้งที่สลัว ๆ แต่ดิฉันทำไมมองไปเห็นเลือดสี แดงกระเซ็นไปทั่วพื้นรถ เธอหันมาทางดิฉันยื่นมืองข้างหนึ่งของเธอมาที่ดิฉันแล้วจับหมับเข้าที่หัวเข่าของดิฉัน ปาก เธอก็ครวญครางว่า "โอ๊ยยย....ช่วยหนูด้วยยย .....ฮิ.ฮิ.ฮิ..โอ๊ยยย" ความตกใจบวกกับความกลัวทำให้ดิฉันปล่อยมือจาก การจับเบาะรถพลางจับข้อมือของเธอจะดึงให้เธอลุกขึ้นมานั่งฉับพลัน.."ปี๊ด" มีเสียงดังคล้ายดึงอะไรขาดแขกทั้งแขน ของเธอนั้นมันขาดติดมือดิฉันมาด้วยมือข้างที่ขาดมานั้นจับข้อมือดิฉันไว้แน่น ดิฉันตกใจมากพลางสบัดแขนตัวเอง เพื่อให้มืนั้นหลุดแต่ไม่ยอมหลุดและแทนทีเธอผู้นั้นจะร้องครวญครางเธอกับลุกขึ้นมานั่งหัวเราะร่วนพร้อมกันนั้นผู้โดย สารทุกคนที่นั่งกันมานิ่งเงียบตลอดทางก็ต่างพากันหัวเราะ และหันหน้ามามองกระหึมรถดิฉันจึงรู้สึกว่าถูกผีเล่นงาน เอาแน่ ๆ ความกลัวมันวิ่งวูบขึ้นมาจากเท้าสู่ศีรษะ เรื่องขนลุกไม่ต้องพูดถึงมองอะไรตาก็พร่าไปหมดและก่อนจะหมด ความรู้สึก ดิฉันคล้ายกับได้เห็นพวกเขาเฮโลกันเข้ามาชิดตัวดิฉันและพูดเหมือนกันว่า "ปายยยยยอยู่ด้วยกัน ๆๆ เหอ เหอ เหอ... เฮ้ย..ฉายไฟดูซิ" "ว้ายยย.....ช่วย ด้วยยยย" ดิฉันจำได้ว่าครั้งสุดท้ายดิฉันได้ตะแบ็งเสียงร้องออกไปอย่าง เต็มที่ และทำอย่างก็ดับสนิทลง มารู้สึกตัวก็ได้ยินเสียงคนพูดใกล้ ๆ ว่า "ฟื้นแล้วค่ะคุณหมอ" "สบายใจได้แล้วครับ ที่นี่ โรงพยาบาล ไม่ต้องกลัวอะไรทั้งนั้น คุณปลอดภัยแล้วครับ" ดิฉันยังรู้สึกตัวเบา ๆ อยู่มองไปเห็นนาฬิกา บอกเวลาเกือบ 6 โมงเช้าแล้ว โอ้....นี่ก็สว่างแล้วซินะ ขณะนั้นก็มีตำรวจทั้งสามนาย เดินเข้ายืนข้างเตียงและพูดกับดิฉันว่า "ขอโทษ ครับ คุณไปยังงัยมายังงัย ถึงเข้าไปนั่งในรถของกลางที่จอดไว้ทางหลังโรงพักตำรวจครับ " ดิฉันได้เล่าให้เขาฟังตาม ความจริง พอเล่าจบจ่าตำรวจก็พูดขึ้นมาว่า "ผมบอกกับหมวดหลายหนแล้ว ว่ามันเฮี้ยน หมวดก็ไม่เชื่อ คุณผุ้หญิงประ สบมาจัง ๆ อย่างนี้ไม่เชื่อก็ไม่ไหวแล้ว นี่ดีนะว่าผมกับหมู่อั้น กลับมาจากกินข้าวต้มกำลังจะเดินเข้าไปห้องพักก็ได้ยิน เสียงคนร้องอยู่ในรถของกลาง จึงฉายไฟเข้าไปดูก็พบคุณผู้หญิงนั่งสลบอยู่ทางท้ายรถ จึงนำส่งโรงพยาบาล" ดิฉันมา ทราบภายหลังว่าก่อนที่ดิฉันจะเดินทางมาสามเดือนกว่ามาแล้วมีรถเมล์ซึ่งได้รับเหมาไปทัศนาจรแต่ก็เกิดชนประสาน งากับรถดัมพ์บรรทุกทรายอย่างเต็มที ทางนอกเขตเทศบาลคนที่นั่งมาทางด้านซ้ายของรถตายเรีย บทั้งแถบ นอกจาก นั้นบาดเจ็บสาหัสและมาตายทีหลังอีกหลายคนทางตำรวจได้ลากซากรถ มาไว้ที่หลังโรงพักก่อนเพื่อเป็นหลักฐานสำคัญ ทางคดี ดิฉันได้รับการบอกเล่าจากสิบตำรวจท่านหนึ่งว่า "โอ้....คุณเอ๋ยวันแรกที่ลาก เอารถมาไว้ที่หลังโรงพัก ผมเอง ต้องเที่ยวเก็บเท้าที่ขาดแต่ข้อเท้าบ้าง แต่หัวเข่าบ้าง มือก็มีแหม....มันชนชนิด ถากด้านซ้ายรถเมล์ไปเรียบ คืนที่สอง ผมกับจ่าเจอเข้าจัง ๆ หลายครั้งแล้วจนชินชาเสียแล้ว มันเฮี้ยนจริง ๆ คุณเอ๋ย..."
เรื่องที่แล้ว
หน้า หลัก
เรื่องต่อไป